วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

นาฏศิลป์ 🎷🎺 🎸 🎻...

หมายถึง....🎷🎷🎷

เป็นศิลปะการแสดงประกอบดนตรีของไทย เช่น ฟ้อน รำ ระบำ โขน แต่ละท้องถิ่นจะมีชื่อเรียกและมีลีลาท่าการแสดงที่แตกต่างกันไป สาเหตุหลักมาจากภูมิประเทศ ภูมิอากาศของแต่ละท้องถิ่น ความเชื่อ ศาสนา ภาษา นิสัยใจคอของผู้คน ชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละภาค การแสดงนาฏศิลป์ไทย มีท่ารำที่อ่อนช้อยและเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไปตามลักษณะประจำถิ่น
เป็นศิลปะการรำ และการละเล่น หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า “ฟ้อน” การฟ้อนเป็นวัฒนธรรมของชาวล้านนา และกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ เช่น ชาวไต ชาวลื้อ ชาวยอง ชาวเขิน เป็นต้น ลักษณะของการฟ้อน แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบดั้งเดิม และแบบที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ แต่ยังคงมีการรักษาเอกลักษณ์ทางการแสดงไว้คือ มีลีลาท่ารำที่แช่มช้า อ่อนช้อยมีการแต่งกายตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สวยงามประกอบกับการบรรเลงและขับร้องด้วยวงดนตรีพื้นบ้าน เช่น วงสะล้อ ซอ ซึง วงปูเจ่ วงกลองแอว เป็นต้น โอกาสที่แสดงมักเล่นกันในงานประเพณีหรือต้นรับแขกบ้านแขกเมือง

ที่มาของนาฏศิลป์🎺🎺🎺

ที่มาของนาฏศิลป์ไทยเข้าใจว่าเกิดจากสภาพความเป็นอยู่โดยธรรมชาติของมนุษย์โลกที่มีความสงบสุข  มีความอุดมสมบูรณ์ในทางโภชนาหาร  มีความพร้อมในการแสดงความยินดี  จึงปรากฏออกมาในรูปแบบของการแสดงอาการที่บ่งบอกถึงความกำหนัดรู้  ดังนั้นเมื่อประมวลที่นักวิชาการเทียบอ้างตามแนวคิดและทฤษฎี  จึงพบว่าที่มาของนาฏศิลป์ไทยเกิดจากแหล่ง ๓  แหล่ง  คือ  เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ   เกิดจากการเซ่นสรวงบูชา  และเกิดจากการรับอารยะธรรมของประเทศอินเดีย  ดังนี้
๑.  เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ    หมายถึง   เกิดตามพัฒนาการของความเป็นมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มชน  ซึ่งพอประมวลความแบ่งเป็นขั้น  ได้ ๓  ขั้น  ดังนี้
ขั้นต้น  เกิดแต่วิสัยสัตว์ เมื่อเวทนาเสวยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาก็ตาม ถ้าอารมณ์แรงกล้าไม่กลั้นไว้ได้ ก็แสดงออกมาให้เห็นปรากฏ เช่น เด็กทารกเมื่อพอใจ ก็หัวเราะตบมือ กระโดดโลดเต้น เมื่อไม่พอใจก็ร้องไห้ ดิ้นรน
ขั้นต่อมา  เมื่อคนรู้ความหมายของกิริยาท่าทางมากขึ้น ก็ใช้กิริยาเหล่านั้นเป็นภาษาสื่อความหมาย ให้ผู้อื่นรู้ความรู้สึกและความประสงค์ เช่น ต้องการแสดงความเสน่หาก็ยิ้มแย้ม กรุ้มกริ่มชม้อยชม้ายชายตา หรือโกรธเคืองก็ทำหน้าตาถมึงทึง กระทืบ กระแทก  เป็นต้น
ต่อมาอีกขั้นหนึ่งนั้น  เมื่อเกิดปรากฏการณ์ตามที่กล่าวในขั้นที่ ๑ และขั้นที่ ๒  แล้วมีผู้ฉลาดเลือกเอากิริยาท่าทาง ซึ่งแสดงอารมณ์ต่างๆ นั้นมาเรียบเรียงสอดคล้อง ติดต่อกันเป็นขบวนฟ้อนรำให้เห็นงาม จนเป็นที่ต้องตาติดใจคน จนเกิดเป็นวิวัฒนาการของนาฏศิลป์ที่สวยงามตามที่เห็นในปัจจุบัน
๒.  เกิดจากการเซ่นสรวงบูชา  หมายถึง  กระบวนการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของกลุ่มชน  ซึ่งพบว่าการเซ่นสรวงบูชา มนุษย์แต่โบราณมามีความเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการบูชา เซ่นสรวง เพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานพรให้ตนสมปรารถนา หรือขอให้ขจัดปัดเป่าสิ่งที่ตนไม่ปรารถนาให้สิ้นไป การบูชา  มีวิธีการตามแต่จะยึดถือมักถวายสิ่งที่ตนเห็นว่าดีหรือที่ตนพอใจ เช่น ข้าวปลาอาหาร  ขนมหวาน ผลไม้  ดอกไม้ จนถึง การขับร้อง ฟ้อนรำ เพื่อให้สิ่งที่ตนเคารพบูชานั้นพอใจ ต่อมามีการฟ้อนรำบำเรอกษัตริย์ด้วย ถือว่าเป็นสมมุติเทพที่ช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ มีการฟ้อนรำรับขวัญขุนศึกนักรบผู้กล้าหาญ ที่มีชัยในการสงครามปราบข้าศึกศัตรู ต่อมาการฟ้อนรำก็คลายความศักดิ์สิทธิ์ลงมา กลายเป็นการฟ้อนรำเพื่อความบันเทิงของคนทั่วไป
๓.  การรับอารยะธรรมของอินเดีย  หมายถึง  อิทธิพลของประเทศเพื่อนบ้านจากประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ยาวนานว่า เมื่อไทยมาอยู่ในสุวรรณภูมิใหม่ๆ นั้น มีชนชาติมอญ และชาติขอมเจริญรุ่งเรืองอยู่ก่อนแล้ว ชาติทั้งสองนั้นได้รับอารยะธรรมของอินเดียไว้มากมายเป็นเวลานาน เมื่อไทยมาอยู่ในระหว่างชนชาติทั้งสองนี้ ก็มีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิด ไทยจึงพลอยได้รับอารยะธรรมอินเดียไว้หลายด้าน เช่น ภาษา ประเพณี ตลอดจนศิลปะการแสดง ได้แก่ ระบำ ละครและโขน ซึ่งเป็นนาฏศิลป์มาตรฐานที่สวยงามดังปรากฏให้เห็นนี้เอง

นอกจากนี้แล้วการสร้างนาฏศิลป์ไทยของเรานี้อาจด้วยสาเหตุหลายประการ  เช่น
๑. จัดทำขึ้นเพื่อการสื่อสาร หมายความถึง  การแสดงนั้นอาจบ่งบอกชาติพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์ที่ดี  ทั้งทางด้านการแต่งกาย  ภาษา  ท่วงทีที่แช่มช้อย  นอกจากนี้แล้วในการสื่อสารอีกทางนั้นคือนาฏศิลป์ได้พัฒนาจากรูปลักษณ์ที่ง่าย และเป็นส่วนประกอบของคำพูดหรือวรรณศิลป์ ไปสู่การสร้างภาษาของตนเองขึ้นที่เรียกว่า "ภาษาท่ารำ" โดยกำหนดกันในกลุ่มชนที่ใช้นาฏศิลป์นั้นๆ ว่าท่าใดมีความหมายอย่างไร  เป็นต้น
๒. เพื่อประกอบพิธีกรรม   ดังที่ได้กล่าวอ้างเรื่องการเซ่นสรวงไปแล้วในเบื้องต้น  ว่ากระบวนทัศน์ในเรื่องการฟ้อนรำนั้นกระแสสำคัญอีกกระแสหนึ่ง  คือเรื่องความเชื่อ  ความศรัทธาในสิ่งที่มองไม่เห็น  นอกจากนี้แล้วอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของคนไทยอีกประการนั้นคือ  การสำนึกกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณ  เช่น  พ่อแม่  ครูอาจารย์  หรือบรรพชนที่ควรเคารพ  อาจมีการจัดกิจกรรมขึ้นแล้วมีการร่วมแสดงความยินดีให้ปรากฏนักนาฏศิลป์หรือ ศิลปินที่มีความชำนาญการจะประดิษฐ์รูปแบบการแสดงเข้าร่วมเพื่อความบันเทิง และเพื่อแสดงออกซึ่งความรักและเคารพในโอกาสพิธีกรรมต่างๆ ก็ได้
๓. เพื่องานพิธีการที่สำคัญ   กล่าวคือเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่มาเยี่ยมเยือน  ทั้งนี้เราจะเห็นว่าในประวัติของชุดการแสดง ๆ  ชุด  เช่น ระบำกฤดาภินิหาร  การเต้นรองเง็ง  หรืออื่นๆ  การจัดชุดการแสดงส่วนใหญ่นั้นจัดเพื่อต้อนรับแขกคนสำคัญ  เพื่อบ่งบอกความยิ่งใหญ่ของความเป็นอารยะชนคนไทย  ที่มีความสงบสุขมาเป็นเวลาหลายปี  แล้วเรามีความเป็นเอกลักษณ์ภายใต้การปกครองที่ดีงามมาแต่อดีต  ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมการแสดงในครั้งนี้อาจมีอย่างหลากหลาย เพื่อเป็นสิริมงคลด้วยก็ได้
๔. เพื่อความบันเทิงและการสังสรรค์ ตามนัยที่กล่าวนี้พบว่าในเทศกาลต่าง ๆ ทั้งที่เป็นประเพณีของคนไทยมีมากมาย  เช่น  งานปีใหม่  ตรุษสงกรานต์  ลอยกระทง วันสาร์ท เป็นต้น เมื่อรวมความแล้วเราพบว่ากิจกรรมที่หลากหลายนี้มีบางส่วนปรากฏเป็นความบันเทิงมีความสนุกสนานรื่นเริง  เช่น  อาจมีการรำวงของหนุ่มสาว  หรือความบันเทิงอื่น ๆ บนเวทีการแสดง  นอกจากนี้อาจรวมถึงการออกกำลังกายในสถานการณ์ต่าง ๆ  เราพบว่าปัจจุบันนี้จากประสบการณ์จัดกิจกรรมมักเกิดเป็นรูปแบบการแสดงที่สวยงามตามมาด้วยเช่นเดียวกัน
๕.  เพื่อการอนุรักษ์และเผยแพร่ นาฏศิลป์เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชุมชน ในชุมชนหนึ่งๆ มักมีการสืบทอด และอนุรักษ์วัฒนธรรมทางนาฎศิลป์ของตนเอาไว้มิให้สูญหาย มีการสอนมีการแสดง และเผยแพร่นาฏศิลป์ไทยให้ท้องถิ่นอื่น หรือนำไปเผยแพร่ในต่างแดน

ประเภทของนาฏิศิลป์🎸🎸🎸

นาฏศิลป์ไทย แบ่งออกเป็น 4 ประเภท

1.รำ คือการแสดงที่มุ่งเน้นถึงศิลปะท่วงท่า ดนตรี ไม่มีการแสดงเป็นเรื่องราว รำบางชุดเป็นการชมความงาม บางชุดตัดตอนมาจากวรรณคดี หรือบางที่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเนื้อเพลงเช่นการรำหน้าพาทย์เป็นต้น รำจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
1.1 รำเดี่ยว เป็นการแสดงที่มุ่งอวดศิลปะทางนาฏศิลป์อย่างแท้จริงชึ่งผู้รำจะต้อมมีผีมือดีเยี่ยม เพราะเป็นการแสดงที่แสดงแต่เพียงผู้เดียว รำเดี่ยวโดยส่วนมากก็จะเป็นการรำฉุยฉายต่างๆ เช่น ฉุยฉายเบญจกาย ฉุยฉายวันทอง ฯลฯ เป็นต้น
1.2 รำคู่ การแสดงชุดนี้ไม่จำเป็นจะต้องพร้อมเพียงกันแต่อาจมีท่าที่เหมือนก็ได้ เพราะการรำคู่นี้เป็นการใช้ลีลาที่แตกต่างกันระหว่างผู้แสดงสองคน เช่นตัวพระ กับตัวนาง หรือบทบาทของตัวแสดงนั้น รำคู่นี้ก็จะแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ 1.2.1 รำคู่สวยงามจากวรรณคดี เช่น หนุมานจับนาสุพรรณมัจฉา เป็นต้น 1.2.2 รำมุ่งอวดการใช้อุปกรณ์ เช่าการรำอาวุธ รำกระบี่กระบอง
1.3 รำหมู่ รำชุดนี้เป็นการรำที่เน้นความพร้อมเพรียง เช่นรำอวยพรชุดต่างๆ
1.4 รำละคร คือการรำที่ใช้ในการแสดงละครหรือโขน เป็นการแสดงท่าท่างสื่อความหมายไปกับบทร้อง หรือบทละคร และเพลงหน้าพาทย์ต่างๆในการแสดงละคร
2.ระบำ คือการแสดงที่มีความหมายในตัวใช้ผู้แสดงสองคนขึ้นไป คือผู้คิดได้มีวิสัยทัศน์และต้องการสื่อการแสดงชุดนั้นผ่านทางบทร้อง เพลง หรือการแต่งกายแบบ ที่มาจากแรงบัลดาลใจ จากเรื่องต่างๆเช่นวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี และเป็นการแสดงที่จบในชุดๆเดียว เป็นต้น ระบำ จะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ
2.1 ระบำมาตรฐาน เป็นระบำที่บรมครูทางนาฏศิลป์ได้คิดค้นไว้ ทั้งเรื่องเพลง บทร้อง การแต่งกาย ท่ารำ ซึ่งไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ระบำมาตรฐานจะมีอยู่ทั้งหมด 6ชุด คือ ระบำสี่บท ระบำย่องหงิดหรือยู่หงิด ระบำพรมมาตร ระบำดาวดึงส์ ระบำกฤษดา ระบำเทพบันเทิง
2.2 ระบำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ เป็นระบำที่บรมครูหรือผู้รู้ทางนาฏศิลป์ได้คิดค้นและปรับปรุงชึ้นมาใหม่ ชึ่งสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามโอกาส อาจเป็นระบำที่ได้แรงบัลดาลใจที่ผู้ประดิษฐ์ต้องการสื่ออาจเป็นเรื่องของการแต่งกาย วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ระบำปรับปรุงมีอยู่หลากหลายเช่น ระบำชุมนุมเผ่าไทย ระบำไกรราศสำเริง ระบำไก่ ระบำสุโขทัย ฯลฯ เป็นต้น
ฟ้อน และ เซิ้ง ก็จัดว่าเป็นระบำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ เพราะผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญทางนาฏศิลป์ได้คิดค้นขึ้นมา มีการแต่งการตามท้องถิ่นเพราะการแสดงแต่ละชุดได้เกิดขึ้นมาจากแรงบัลดาลใจของผู้คิดที่จะถ่ายทอดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิถีชีวิต การแต่งกาย ดนตรี เพลง และการเรียกชื่อการแสดงนั้น จะเรียกตาม ภาษาท้องถิ่น และการแต่งกายก็แต่งกายตามท้องถิ่น เช่นภาคเหนือก็จะเรียกว่าฟ้อน เช่นฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ภาคอิสานก็จะเรียกและแต่งกายตามท้องถิ่น ทางภาคอิสานเช่น เซิ้งกะติ๊บข้าว เซิ้งสวิง เป็นต้น การแสดงต่างๆล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาจากท้องถิ่นและแต่งกายตามท้องถิ่นไม่ได้มีหลักหรือ เกณฑ์ที่ใช้กันโดยทั่วไปในวงการนาฏศิลป์ไทยทั่วประเทศสามารถปรับปรุงหรื่อเปลี่ยนแปลงได้ตามโอกาสที่แสดง จึงถือว่า การฟ้อนและการเซิ้งเป็นระบำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่
3. ละคร คือการแสดงเรื่องราวโดยมีตัวละครต่างดำเนินเรื่องมีผูกเหตุหรือการผูกปมของเรื่อง ละครอาจประกอบไปด้วยศิลปะหลายแขนงเช่น การรำ ร้อง หรือดนตรี ละครจะแบ่งออกเป็นสองประเภทได้แก่ 3.1 ละครแบบดั้งเดิม มีอยู่สามประเภท คือ โนห์ราชาตรี ละครนอก ละครใน 3.2 ละครที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ มีอยู่หกประเภท ละครดึกดำบรรพ์ ละครพันทาง ละครเสภา ละครพูด ละครร้อง ละครสังคีต
4.มหรสพ' คือการแสดงรื่นเริง หรือการแสดงที่ใช้ในงานพิธีต่างๆ มีรูปแบบและวิธีการแสดงที่เป็นแบบแผน เช่น การแสดงโขน หนังใหญ่เป็นต้น

การแต่งกายนาฏศิลป์🎻🎻🎻

การแสดงนาฏศิลป์ไทยทั้งโขนและละครนั้นได้จำแนกผู้แสดงออกเป็น 4 ประเภทตามลักษณะของบทบาทและการฝึกหัดคือ ตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์และตัวลิง ซึ่งในแต่ละตัวละครนั้น นอกจากบุคลิกลักษณะที่ถ่ายทอดออกมาให้ผู้ชมทราบจากการแสดงแล้ว เครื่องแต่งการของผู้แสดงก็ยังเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า ผู้นั้นรับบทบาทแสดงเป็นตัวใด
เครื่องแต่งการนาฏศิลป์ไทยมีความงดงามและกรรมวิธีการประดิษฐ์ที่วิจิตรบรรจงเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะที่มาของเครื่องแต่งกายนาฏศิลป์ไทยนั้น จำลองแบบมาจากเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ (เครื่องต้น) แล้วนำมาพัฒนาให้เหมาะสมต่อการแสดง ซึ่งจำแนกออกเป็น 4 ฝ่าย ดังนี้
เครื่องแต่งตัวพระ
เครื่องแต่งตัวนาง
เครื่องแต่งตัวยักษ์ (ทศกัณฐ์)
เครื่องแต่งตัวลิง
คือ เครื่องแต่งกายของตัวพระมีลักษณะคล้ายเทพมีวิชา
คือ เครื่องแต่งกายของผู้แสดงหรือผู้รำที่แสดงเป็นหญิง สำหรับเครื่องแต่งตัวพระและนางนี้ จะใช้แต่งกายสำหรับผู้ระบำมาตรฐาน เช่น ระบำสี่บท ระบำพรหมาสตร์และระบำกฤดาภินิหาร เป็นต้น และยังใช้แต่งกายสำหรับตัวละครในการแสดงละครนอกและละครในด้วย ส่วนในระบำเบ็ดเตล็ด เช่น ระบำนพรัตน์ ระบำตรีลีลา ระบำไตรภาคี ระบำไกรลาสสำเริง ระบำโบราณคดีชุดต่าง ๆ หรือระบำสัตว์ต่าง ๆ จะใช้เครื่องแต่งกายตามความเหมาะสมกับการแสดงนั้น ๆ เช่น นุ่งโจงกระเบน ห่มผ้าสไบ และสวมชุดไทยต่าง ๆ เป็นต้น ตลอดจนยังมีการแสดงหรือการฟ้อนรำแบบพื้นเมืองของท้องถิ่นต่าง ๆ ซึ่งจะมีการแต่งกายที่แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น
คือ เครื่องแต่งกายของผู้แสดงเป็นตัวยักษ์ เป็นเครื่องยักษ์
คือ เครื่องแต่งกายของผู้แสดงเป็นตัวลิง

บทบาททางสังคม🎼🎼🎼

            นาฏศิลป์เป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่สร้างสรรค์สุนทรียะด้านจิตใจและอารมณ์ให้กับคนในสังคมและมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ที่สามารถสะท้อนวิถีชีวิตและกิจกรรมของคนในสังคม ทั้งที่เป็นกิจกรรมส่วนตัวและกิจกรรมส่วนรวม ดังพิจารณาได้จากบทบาทของนาฏศิลป์ที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทางด้านต่าง ๆ เช่น บทบาทในพิธีกรรมรัฐพิธีและราชพิธี การแสดงนาฏศิลป์ในพิธีกรรมต่าง ๆ สามารถแสดงถึงความเชื่อในพลังเหนือธรรมชาติของภูตผีปีศาจและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เช่น การฟ้อนรำในพิธีรำผีฟ้าเพื่อรักษาโรค หรือสะเดาะเคราะห์ของภาคอีสาน การฟ้อนผีมดผีเม็งในภาคเหนือ ที่จะมีผู้หญิงมาเข้าทรง เป็นต้น

MEMBER

1. ด.ช.คชา สวัสดิพิศาล ม.2/7 เลขที่ 1   🥋🥋🥋......
2. ด.ช.จิรฑภูมิ ดอนคำไพร ม.2/7 เลขที่ 2   🍭 🍬 🍫......
3. ด.ช.นวพรรษ ศรีทองคำ ม.2/7 เลขที่ 10  🏀🏀🏀......
4. ด.ช.ศรอัศษ์ สมสุข ม.2/7 เลขที่ 15   🎬🎬🎬......

CREDIT

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2562

SOLDIER!!!

....SOLDIER!!!....

                    ทหาร หมายถึง ผู้มีหน้าที่ในเรื่องรบ นักรบ ผู้เป็นกำลังรักษาความมั่นคงและบำรุงประเทศ และผู้เป็นกำลังรบและทำหน้าที่อื่น ๆ ในยามสงคราม

                  ประเด็นศึกษาข้อมูลอาชีพที่สนใจ ดังต่อไปนี้

1.ลักษณะการทำงาน

                  แต่ถ้าจะพูดถึงหน้าที่ของทหารในแง่ของกฎกระทรวงกลาโหมจะมีหน้าที่หลักที่ขอยกตัวอย่างมาเพียง 3 ข้อ ที่สำคัญอันถือได้ว่าเป็นหน้าที่ที่ทหารทุกนายต้องพึงปฎิบัติ ได้แก่
            1.) พิทักษ์รักษาเอกราชและความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรจากภัยคุกคามทั้งภายนอกและภายในราชอาณาจักรปราบปรามการกบฏและการจราจลโดยจัดให้มีและใช้กำลังทหารตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือตามที่กฎหมายกำหนด
            2.) พิทักษ์รักษา ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดจนสนับสนุนภารกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์
            3.)ปฏิบัติการอื่นที่เป็นปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงครามเพื่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือปฏิบัติการอื่นใดทั้งนี้ ตามที่มีกฎหมายกำหนดหรือตามมติคณะรัฐมนตรี

2.คุณสมบัติของผู้ที่เหมาะสมกับอาชีพ

                   ทหารจำเป็นต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสมไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และระเบียบวินัยที่ต้องเพรียบพร้อมเสมอ หากใครอยากเป็นทหารจะต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
  1.) มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์
     2.) มีความอดทน
        3.) มีทักษะทางด้านกีฬา เช่น ว่ายน้ำ วิ่ง
           4.) มีความซื่อสัตย์สุจริต
              5.) รักความยุติธรรม
                 6.) มีความเสียสละทั้งแรงกายแรงใจ
                    7.) มีความกล้าหาญ
                       8.) มีระเอียดความรอบคอบ
                          9.) มีระเบียบวินัย
                            10.) มีบุคลิกภาพและมีความสูงตามที่กำหนดไว้
                                11.) รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
                                     12.) อื่น ๆ

3.แนวทางการศึกษาต่อเพื่อเข้าสู่อาชีพ

จบม.3 ---> สอบเข้าโรงเรียนช่างฝีมือทหาร ในส่วนของภาคปกติ(ถ้าสมัครภาคสมทบจะไม่ติดยศให้) โดยกำหนดอายุผู้สมัครระหว่าง 15-18 ปี จะรับเพศชายจำนวน 250 - 300 นาย เมื่อจบการศึกษาหลักสูตร 3 ปี จะได้รับวุฒิปวช.ตามสาขาช่างที่เลือกศึกษา และแต่งตั้งยศเป็นสิบตรี บรรจุทำงานในกองทัพไทยส่วนหนึ่ง คือ หน่วยทหารพัฒนา (ยังมีโควต้าของกองทัพบก และกองทัพเรืออีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจะเลือกหลังจบการศึกษาตามคะแนนสอบ) ---> สอบบรรจุในตำแหน่ง พลขับรถ(เฉพาะชาย) เสมียน ตามปีงบประมาณ โดยกำหนดอายุของผู้สมัครระหว่าง 18-30 ปี รับทั้งเพศชายและหญิง การรับสมัครประมาณเดือน ก.พ. - มี.ค. ทุกๆปี จบม.6 ---> สอบเข้าโรงเรียนแผนที่ทหาร โดยกำหนดคุณสมบัติ คือ จบม.6 แผนวิทย์ - คณิต เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.20 มีอายุระหว่าง 17-20 ปี จะรับเพศชายจำนวน 40 - 45 นาย เมื่อจบการศึกษาหลักสูตร 2 ปี จะได้รับวุฒิปวส.สาขาช่างสำรวจ และแต่งตั้งยศเป็นสิบตรี บรรจุทำงานในกองทัพไทยส่วนหนึ่ง คือ กรมแผนที่ทหาร และหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ยังมีโควต้าของกองทัพอากาศ 1 นาย ซึ่งจะเลือกหลังจบการศึกษาตามคะแนนสอบ) ** น่ารู้ ** นัก เรียนนายสิบแผนที่ ที่สอบได้ที่ 1 ได้คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 3.00 ขึ้นไป และมีคะแนนความประพฤติดี จะได้โควต้าเข้าเรียนที่ร.ร.เตรียมทหาร และร.ร.นายร้อยจปร.---> สอบเข้าโรงเรียนชุมพลทหารเรือ โดยกำหนดคุณสมบัติ คือ จบม.6 แผนวิทย์ - คณิต มีอายุระหว่าง 17-20 ปี จะรับเพศชายจำนวน 3 นาย เมื่อจบการศึกษาหลักสูตร 2 ปี จะได้รับการแต่งตั้งยศเป็นสิบตรี บรรจุทำงานในกองทัพไทย---> สอบบรรจุในตำแหน่ง พลขับรถ(เฉพาะชาย) เสมียน ตามปีงบประมาณ โดยกำหนดอายุของผู้สมัครระหว่าง 18-30 ปี รับทั้งเพศชายและหญิง การรับสมัครประมาณเดือน ก.พ. - มี.ค. ทุกๆปี จบปวช. ---> สอบเข้าโรงเรียนชุมพลทหารเรือ โดยกำหนดคุณสมบัติ คือ ปวช.สาขาช่างอิเล็กทรอนิกส์ มีอายุระหว่าง 17-20 ปี จะรับเพศชายจำนวน 3 นาย เมื่อจบการศึกษาหลักสูตร 2 ปี จะได้รับการแต่งตั้งยศเป็นสิบตรี บรรจุทำงานในกองทัพไทย---> สอบบรรจุชั้นประทวน (สิบตรี จ่าตรี จ่าอากาศตรี) ตามปีงบประมาณ โดยกำหนดอายุของผู้สมัครระหว่าง 18-30 ปี รับทั้งเพศชายและหญิง สำหรับสาขาที่รับสมัครเป็นประจำ คือ บัญชี การเงินการธนาคาร การตลาด การขาย พณิชยการและบริหารธุรกิจทุกสาขา คอมพิวเตอร์ ช่างอิเล็กทรอนิกส์ ช่างยนต์ ช่างโยธา ช่างก่อสร้าง ช่างไฟฟ้า การรับสมัครประมาณเดือน ก.พ. - มี.ค. ทุกๆปี จบปวส. ---> สอบบรรจุชั้นประทวน (สิบตรี จ่าตรี จ่าอากาศตรี) ตามปีงบประมาณ โดยกำหนดอายุของผู้สมัครระหว่าง 18-30 ปี รับทั้งเพศชายและหญิง สำหรับสาขาที่รับสมัครเป็นประจำ คือ บัญชี การเงินการธนาคาร การตลาด การขาย พณิชยการและบริหารธุรกิจทุกสาขา คอมพิวเตอร์ ช่างอิเล็กทรอนิกส์ ช่างยนต์ ช่างโยธา ช่างก่อสร้าง ช่างไฟฟ้า การรับสมัครประมาณเดือน ก.พ. - มี.ค. ทุกๆปี โดยกรมกำลังพลทหาร จบป.ตรี ---> สอบบรรจุชั้นสัญญาบัตร (ร้อยตรี เรือตร เรืออากาศตรี) ตามปีงบประมาณ โดยกำหนดอายุของผู้สมัครระหว่าง 18-35 ปี รับทั้งเพศชายและหญิง สำหรับสาขาที่รับสมัครเป็นประจำ คือ บัญชี การเงิน การธนาคาร วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ไฟฟ้า เครื่องกล อิเล็กทรอนิกส์ และวิทยาการคอมพิวเตอร์ การรับสมัครประมาณเดือน ก.พ. - มี.ค. ทุกๆปี โดยกรมกำลังพลทหาร

4.ความก้าวหน้าในงานอาชีพ รายได้ และสวัสดิการ

             รายได้ และสวัสดิการของอาชีพทหารนี้จะขึ้นอยู่กับยศตำแหน่งที่ตนเองได้รับ หากประพฤติดี อยู่ในระเบียบวินัย ก็จะเลื่อนยศขึ้นไปอีก รวมถึงเงินเดือนอีกด้วย อาทิเช่น น.9 หรือ ส.9 = เงินเดือน พลเอก , พลเรือเอก , พลอากาศเอก , พลตำรวจเอก ซึ่งได้รับเงินเดือนในอัตราจอมพล เช่น ผบ.เหล่าทัพ จะอยู่ประมาณ 50,000 - 80,000 บาท หรือ น.5 หรือ ส.5 = เงินเดือน พันเอก(พิเศษ) , นาวาเอก(พิเศษ) , นาวาอากาศเอก(พิเศษ) , พันตำรวจเอก(พิเศษ) จะอยู่ประมาณ 24,000 - 70,000 บาท
**ทหารเงินเดือนทหารสัญญาบัตรใช้คำย่อว่า น. นะ ของตำรวจสัญญาบัตรจะเป็น ส.

5.ปัญหา หรืออุปสรรค์ที่อาจพบในการประกอบอาชีพ

     สามารถแบ่งที่มาของปัญหาได้เป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือ
1. ตัวทหารเอง: ทหารที่ขาดการปลูกฝังอุดมการณ์ที่ดีพอ ทำให้ขาดจิตสำนึกในการเป็นทหาร คล้อยตามต่อสิ่งแวดล้อม และในที่สุดก็จะเดินออกนอกเส้นทางทหารอาชีพ
2. สภาพแวดล้อมทางสังคม: สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการถาโถมของกระแสทางสังคมต่าง ๆ ประกอบกับอิทธิพลตามแนวความคิดสังคมอุตสาหกรรมที่เน้นคุณค่าที่ปริมาณ และเงินตรา ทำให้ทหารที่ขาดความอดทด และซื่อสัตย์ เดินทางออกนอกเส้นทางทหารอาชีพ
3. การเข้ามามีบทบาทของนักการเมืองในกองทัพ: เราต้องยอมรับว่าปัจจุบันกองทัพได้ถูกคุกคามจากอิทธิพลของนักการเมือง การพยายามเข้ามามีบทบาทของนักการเมืองในกองทัพส่งผลให้ทหารเกิดความแตกแยก สับสนทางอุดมการณในการเป็นทหาร และในที่สุดก็เดินออกนอกเส้นทางของการเป็นทหารอาชีพ
        การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่เป็นเพียงหน้าที่ของผู้นำกองทัพที่จะนำกองทัพพ้นจากวิกฤตการณ์เท่านั้น ทหารทุกนายจะต้องช่วยกัน ผู้นำกองทัพที่เข้มแข็งที่แบ่งขอบเขตที่ชัดเจนระหว่าง คำว่าการเมือง ธุรกิจ และประโยชน์ส่วนตัว กับความเป็นทหาร กระทำการใด ๆ บนความถูกต้อง และเด็ดขาดย่อมจะนำมาซึ่ง ขวัญ และกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชา การเป็นแบบอย่างที่ถูกต้องย่อมจะนำทหารกลับเข้าสู่เส้นทางเดินของทหารอาชีพ ทหารทุกนายเองก็มีหน้าที่จะดำรงไว้ซึ่งจิตสำนึกในการเป็นทหาร ไม่อ่อนแอต่อสิ่งยั่วยุ อดทนอดกลั้น ก็จะนำมาซึ่งความเป็นทหารอาชีพ อันเป็นจุดสูงสุดในการเป็นทหาร

6.แนวโน้มความต้องการอาชีพในอนาคต

          แนวโน้มว่าในอนาคตนั้นอีกประมาณ 3 - 7 ปี ข้างหน้านี้ อาชีพทหารอาจจะคาดเดาได้ว่าอาชีพนี้จะมีแนวโน้มความต้องการที่ต่ำลง เนื่องจากว่าเด็กไทยนั้นมีความใฝ่ฝันที่ว่าจะต้องได้รับเงินเดือนที่เยอะ และสามารถเลี้ยงดูครอบครัวตัวเองได้ และวัยรุ่นชายไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมการเป็นทหาร หรือ เรียน รด. ซักเท่าไหร่ ผลกระทบก็อาจจะมีบ้างในเรื่องของ การเมือง ธุรกิจที่เข้ามาในอาชีพนี้

7.คุณค่าของอาชีพต่อการพัฒนาสังคม

          หน้าที่หลักของทหารคือการปกป้องบ้านเมืองให้รอดพ้นจากการรุกรานของข้าศึก แต่ในยามที่บ้านเมืองสงบทหารก็ยังคงทำหน้าที่ในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความลำบากเดือดร้อน อย่างที่เราพบเห็นกันอยู่เสมอ เช่น เมื่อปี 2554 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศ น้ำท่วมสูงเกือบทุกพื้นที่ของประเทศไทยไล่จากภาคเหนือลงมาจนถึงกรุงเทพมหานครประชาชนได้รับความเดือดร้อนกันอย่างแสนสาหัส บางคนถึงกับไร้ที่อยู่อาศัย อาหารการกินขาดแคลน ซึ่งในตอนนั้นทหารเป็นกำลังหลักที่สำคัญที่เข้ามาช่วยเหลือประชาชนไม่ว่าจะขับรถรับส่ง ขับเรือ หรือนำอากหารเข้าไปแจกจ่ายยังประชาชนที่ไม่สามารถออกจากบ้านได้ เรียกได้ว่าทหารเป็นทุกอย่างของประชาชนอย่างแท้จริง

7.อ้างอิง

https://sites.google.com/site/aayajai999/kar-xxkbaeb-kar-kheiyn-phang-ngan-flowchart
https://pantip.com/topic/33399518
https://naenaew.blogspot.com/2011/03/blog-post_5454.html
http://arty16.com/main/info/impress.php
https://www.brandbuffet.in.th/2018/01/adecco-thailand-childrens-dream-career-survey-2018/
https://pantip.com/topic/33500254
http://www.wikibuster.org/หน้าที่ของทหารอย่างสัง/

Member

ด.ช.คชา สวัสดิพิศาล ชั้น ม.2/7 เลขที่ 1🤣🤣🤣......
ด.ช.จิรฑภูมิ ดอนคำไพร ชั้น ม.2/7 เลขที่ 2😴😴😴......
ด.ช.นวพรรษ ศรีทองคำ ชั้น ม.2/7 เลขที่ 10😎😎😎......
ด.ช.ศรอัศษ์ สมสุข ชั้น ม.2/7 เลขที่ 15😜😜😜......

อิฮิๆ ปุ๊งๆปิ๊งๆ ◡‿◡❀)◡‿◡❀)◡‿◡❀)
_░▒███████
░██▓▒░░▒▓██
██▓▒░__░▒▓██___██████
██▓▒░____░▓███▓__░▒▓██
██▓▒░___░▓██▓_____░▒▓██
██▓▒░_______________░▒▓██
_██▓▒░______________░▒▓██
__██▓▒░____________░▒▓██
___██▓▒░__________░▒▓██
____██▓▒░________░▒▓██
_____██▓▒░_____░▒▓██
______██▓▒░__░▒▓██
_______█▓▒░░▒▓██
_________░▒▓██
_______░▒▓██
_____░▒▓██

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2562

ิอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียที่มีผลต่อวัฒนธรรมไทยอ่ะคับ😝😝😝

อิทธิพลของอารยธรรมอินเดีย

😀 😁 😂 🤣😀 😁 😂 🤣

ที่มีผลต่อวัฒนธรรมไทย

                อิทธิพลของอารยธรรมอินเดีย อารยธรรมอินเดียมีผลต่อลักษณะการดำเนินชีวิตของไทยและผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายด้าน เช่น

                1) ด้านศาสนา ผู้คนพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับเอาศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูและพระพุทธศาสนาที่มีผลต่อการสร้างงานศิลปะที่มีหลักฐานปรากฏอยู่มากมาย เช่น ปราสาทนครวัดนครธมในกัมพูชา เจดีย์ชเวดากองในเมียนมาร์บุโรพุทโธในอินโดนีเชีย สำหรับในดินแดนไทยได้รับศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และพระพุทธศาสนามาตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น ทวารดี ในสมัยสุโขทัยรับพระพุทธศาสนาจากนครศรีธรรมราชทำให้พระพุทธศาสนาเป็นส่วนสำคัญในวิถีชีวิตของคนไทย



               2) ด้านการเมืองการปกครอง รับความเชื่อเรื่องสมมติเทพและกฎหมายพระมนูธรรมศาสตร์ของอินเดียมาเป็นแม่แบบของกฎหมายในหลายประเทศ เช่น เมียนมาร์ กัมพูชา ไทย
            ในอดีตประเทศไทยมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก การรับศาสนาพราหมณ์ทำให้มีความเชื่อเรื่องกษัตริย์เป็นสมมติเทพตามแนวความเชื่อของอินเดีย ต่อมาได้นำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาผสมผสานเพื่อใช้ในการปกครอง พระมหากษัตริย์จึงเป็นธรรมราชาในเวลาต่อมา



                3) ด้านอักษรศาสตร์ รับภาษาบาลี สันสฤตจากอินเดียมาใช้ ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั้งไทย กัมพูชา อินโดนีเซีย มีภาษาที่มีคำในภาษาบาลี สันสฤต ผสมอยู่มากมาย เช่น ชื่อของคนในประเทศเหล่านี้ รับวรรณคดีอินเดีย เช่น มหากาพย์รามายณะ ซึ่งมีอิทธิพลต่อวรรณคดีของไทย เมียนมาร์ กัมพูชา อินโดนีเซีย รวมถึงวรรณคดีทางพระพุทธศาสนา เช่น ชาดก



               4) ด้านวิถีชีวิต คนไทยและคนที่อยู่ในภูมิเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางส่วนได้รับวัฒนธรรมการแต่งกายและวัฒนธรรมการกินอาหารจากอารยธรรมอินเดีย เช่น รับประทานอาหารที่มีเครื่องเทศเป็นส่วนผสม ใส่เสื้อผ้าแบบชาวอินเดีย เป็นต้น




                5) ด้านกฎหมาย ได้รับรากฐานกฎหมายจากอินเดีย คือ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ ซึ่งกลายเป็นหลักของกฎหมายของประเทศต่าง ๆ เช่น เมียนมาร์ กัมพูชา ไทย



                6) ด้านศิลปะวิทยาการ รับรูปแบบสถาปัตยกรรมของพระพุทธศาสนาจากอินเดีย ลังกา เช่น เจดีย์ทรงลังกา พระพุทธรูป


พระปฐมเจดีย์ จ. นครปฐม เป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะลังกา

MEMBER

1. ด.ช.คชา สวัสดิพิศาล ม.2/7 เลขที่ 1  🥋🥋🥋......
2. ด.ช.จิรฑภูมิ ดอนคำไพร ม.2/7 เลขที่ 2  🍭 🍬 🍫......
3. ด.ช.นวพรรษ ศรีทองคำ ม.2/7 เลขที่ 10 🏀🏀🏀......
4. ด.ช.ศรอัศษ์ สมสุข ม.2/7 เลขที่ 15  🎬🎬🎬......

CREDIT

https://sites.google.com/site/uunntelarning/unit502-2?tmpl=%2Fsystem%2Fapp%2Ftemplates%2Fprint%2F&showPrintDialog=1

อิฮิๆ ปุ๊งๆปิ๊งๆ ◡‿◡❀)◡‿◡❀)◡‿◡❀)